
สุนัขสามหัว เซอร์เบอรัส ผู้เฝ้าประตูยมโลก
- J. Kanji
- 75 views
สุนัขสามหัว เซอร์เบอรัส หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ น่าจดจำที่สุดในตำนานกรีก เป็นหมาที่มีรูปร่างหน้าตาดุดัน มีหัวสุนัขถึงสามหัว ทำให้มันเป็นได้รับหน้าที่ ผู้พิทักษ์ประตูยมโลก ตำนานของมัน ไม่ได้มีเพียงการเฝ้าประตู แต่ยังสะท้อนแนวคิด เกี่ยวกับชีวิต ความตาย และการลงโทษ ในโลกหลังความตายอีกด้วย
เซอร์เบอรัส ไม่ได้เกิดจากสุนัขธรรมดา แต่เป็นลูกของ ไทฟอน (Typhon) และ เอคิดนา (Echidna) สองสุดยอดสัตว์ประหลาด แห่งโลกกรีก ไทฟอน คือตัวแทนแห่งความหายนะ ส่วนเอคิดนาเป็นครึ่งหญิงครึ่งงู ทั้งคู่เป็นพ่อแม่ ของสิ่งมีชีวิตประหลาดมากมาย เช่น ไฮดรา สฟิงซ์ และคิเมร่า
การที่เซอร์เบอรัส เป็นลูกของพวกเขา จึงไม่แปลกใจเลย ที่มันมีรูปร่างเหนือธรรมชาติ และหน้าที่ของมัน ก็ไม่ใช่อะไรที่ใครก็ทำได้ง่าย ๆ
บางตำนานเชื่อว่า เซอร์เบอรัสเกิดมา พร้อมกับความสามารถพิเศษ ในการแยกแยะระหว่าง “สิ่งที่มีชีวิต” กับ “วิญญาณ” เพื่อที่จะสามารถป้องกัน ไม่ให้สิ่งใดทะลุผ่าน ไปยังโลกอีกฝั่งได้ และด้วยความสามารถนี้เอง ทำให้ฮาเดสเลือกมัน ให้เฝ้าประตูสู่ยมโลก [1]
แม้ในภาพจำหลัก ๆ จะเห็นว่าเซอร์เบอรัสมี “สามหัว” แต่ในบางเวอร์ชัน ของตำนาน มันอาจมีหัวมากกว่านั้น เช่น 50 หรือแม้แต่ 100 หัว (ตามจินตนาการ ของนักเขียนยุคหลัง ๆ) นอกจากหัวจำนวนมากแล้ว ยังมีลำตัวขนาดใหญ่ ขาที่แข็งแรง ฟันที่แหลมคม และบางเวอร์ชันบอกว่า มันมีงูพันรอบตัว หรือมีหางเป็นงู
จุดเด่นอีกอย่าง คือเสียงคำราม ที่เชื่อกันว่า ดังพอจะสั่นสะเทือนผนัง แห่งยมโลกได้ และบางครั้งเสียงนี้ ยังทำให้วิญญาณ ที่พยายามหลบหนี กลับไปยอมจำนน โดยไม่ต้องต่อสู้เลย
ในโลกกรีกโบราณ มีความเชื่อว่า หลังจากมนุษย์เสียชีวิต วิญญาณจะถูกนำไปสู่ยมโลก ผ่านแม่น้ำหลายสาย เช่น สติกซ์ (Styx), อาเคอรอน (Acheron) และเลเธ (Lethe) ซึ่งหนึ่งในทางผ่านนั้นก็คือ “ประตูนรก” ที่มีเซอร์เบอรัส เป็นผู้เฝ้า หน้าที่ของมัน แบ่งเป็นสองส่วนหลัก
ด้วยความที่มี “สามหัว” เซอร์เบอรัสจึงถูกมองว่า เป็นสัตว์ที่ไม่มีวันเผลอหลับ หมดทั้งตัว แม้จะมีหัวหนึ่งนอน ก็ยังเหลืออีกสอง หัวคอยระวังภัย อีกทั้งในแต่ละหัว ยังถูกตีความว่ามีความหมายแฝง เช่น บางนักวิชาการเชื่อว่า หัวหนึ่งแทนอดีต หัวหนึ่งแทนปัจจุบัน และอีกหัวแทนอนาคต แสดงถึงการเฝ้าระวัง ในทุกกาลเวลา [2]
ภารกิจสุดท้าย (ข้อที่ 12) ของ วีรบุรุษ เฮอร์คิวลีส (Heracles) คือการลงไปในยมโลก และนำตัวเซอร์เบอรัส กลับมาให้เห็นเป็น ๆ โดยห้ามใช้อาวุธใด ๆ เลย เฮอร์คิวลิสเดินทาง ลงไปยังโลกใต้พิภพ ผ่านแม่น้ำสติกซ์ เจอกับเทพเฮอร์มีส และเทพาธิดา เพอร์เซโฟนี (ภรรยาของฮาเดส)
ซึ่งอนุญาตให้เขา ลองจับเซอร์เบอรัส หากเขาทำได้ โดยไม่ทำร้ายมัน ในตำนานว่า เฮอร์คิวลิส ใช้กำลังเข้าไปต่อสู้ กับเซอร์เบอรัสด้วยมือเปล่า เขาถูกกัดบ้าง ถูกข่วนบ้าง แต่ด้วยพละกำลัง อันเหลือล้น เขาจับมันได้ และลากขึ้นมายังบนโลก ให้ยูเรสธีอุสเห็น ก่อนจะส่งกลับไปยังยมโลก อย่างปลอดภัย [3]
ตำนานนี้สะท้อนภาพว่า แม้แต่สัตว์ที่น่าเกรงขาม อย่างเซอร์เบอรัส ก็ยังสามารถถูกควบคุมได้ หากมีความกล้าหาญพอ
ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จนถึงปัจจุบัน เซอร์เบอรัสถูกนำไปใช้ ในงานศิลปะ วรรณกรรม และวัฒนธรรมปัจจุบัน หลากหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น
นอกจากจะเป็นสัตว์ในตำนาน เซอร์เบอรัสยังสื่อถึงหลายสิ่ง ในเชิงสัญลักษณ์
หลาย ๆ คนจึงมองว่า เซอร์เบอรัสไม่ใช่สัตว์ประหลาด หากแต่เป็น “บทเรียน” ที่เล่าผ่านตำนาน ให้มนุษย์รู้จักขอบเขต รู้จักกลัวในสิ่งที่ควรกลัว และรู้ว่าทุกสิ่งมีราคาของมัน
สุนัขสามหัว เซอร์เบอรัส จากลูกของสัตว์ประหลาด สู่บทบาทผู้พิทักษ์ โลกแห่งความตาย มันอาจจะดูเหมือน สัตว์ประหลาด ที่มีไว้หลอนใจคน ในตำนาน แต่ถ้ามองลึกลงไป มันคือสิ่งมีชีวิต ที่ทรงพลัง เต็มไปด้วยความหมาย และเป็นดั่งเครื่องเตือนใจ ว่าชีวิตและความตาย มีเส้นแบ่งที่ชัดเจน
หน้าที่หลักของเซอร์เบอรัส คือการเฝ้าประตูนรก เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณ หลบหนีออกจากยมโลก และไม่ให้คน เป็นเข้าไปในโลกของผู้ตาย โดยไม่ได้รับอนุญาต มันถือเป็นผู้พิทักษ์ขอบเขต ระหว่างโลกคน เป็นกับโลกหลังความตาย
ในภารกิจข้อที่ 12 ซึ่งเป็นภารกิจสุดท้าย ของเฮอร์คิวลิส ที่ต้องลงไปยังยมโลก เพื่อนำตัวเซอร์เบอรัส ขึ้นมายังโลก โดยต้องจับมันด้วยมือเปล่าเท่านั้น เฮอร์คิวลิสสามารถ ควบคุมเซอร์เบอรัส ได้ด้วยกำลัง และความกล้าหาญ และได้นำมันขึ้นมา ให้ยูเรสธีอุสเห็น ก่อนจะพากลับลงไป ยังยมโลกอีกครั้ง