
พญานาค ผู้ปกป้องแม่น้ำ ตำนานลุ่มแม่น้ำโขง
- J. Kanji
- 24 views
พญานาค ผู้ปกป้องแม่น้ำ เป็นตำนานที่แพร่หลาย ในวัฒนธรรมไทย และประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขง มาเป็นเวลาหลายร้อยปี พญานาคไม่ใช่แค่ สัตว์ในตำนานธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ แห่งความอุดมสมบูรณ์ ความศักดิ์สิทธิ์ และความเชื่อมโยง ระหว่างมนุษย์ กับธรรมชาติอีกด้วย
พญานาค มีที่มาจากความเชื่อ ทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพุทธศาสนา ในตำนานเล่าว่า พญานาคเป็นสิ่งมีชีวิตกึ่งเทพ มีรูปร่างเป็นงูใหญ่ สามารถแปลงร่าง เป็นมนุษย์ได้ มีถิ่นที่อยู่ใต้บาดาล หรือที่เรียกว่า “นาคพิภพ” อันเป็นดินแดนใต้แม่น้ำ ที่มีความสวยงามและมั่งคั่ง
พญานาคมีหลายตระกูล แต่ละตระกูลมีสี และลักษณะแตกต่างกันไป บางตำนานกล่าวว่า มีทั้งหมด 4 เผ่าพันธุ์ ซึ่งแต่ละเผ่าพันธุ์ มีหน้าที่ดูแลแม่น้ำ และแหล่งน้ำสำคัญต่างๆ ดังนี้
ที่มา: “ย้อนตำนานพญานาค ความเชื่อ พลังแห่งศรัทธาลุ่มน้ำโขง” [1]
ในคัมภีร์ ทางพระพุทธศาสนา มีเรื่องราวเกี่ยวกับ พญานาคมากมาย เรื่องที่รู้จักกันดีคือ พญานาคมุจลินท์ ที่แผ่พังพานปกป้องพระพุทธเจ้า จากพายุฝนเป็นเวลา 7 วัน หลังจากที่พระองค์ ตรัสรู้ใหม่ๆ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของพญานาค ชื่อเอรกปัตต์ ที่ปรารถนาจะฟังธรรม จากพระพุทธเจ้า
และพญานาคนันโทปนันทะ ที่ถูกพระโมคคัลลานะ ทรมานจนยอมแพ้ และหันมานับถือพระพุทธศาสนา เรื่องเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึง ความสัมพันธ์อันดี ระหว่างพญานาค กับพระพุทธศาสนา ทำให้ชาวพุทธ ในแถบลุ่มน้ำโขง นับถือพญานาคเป็นพิเศษ
พญานาคได้รับการยกย่อง ว่าเป็นผู้พิทักษ์แหล่งน้ำ ในความเชื่อของคนท้องถิ่น พญานาคมีหน้าที่ ควบคุมการไหลของน้ำ รักษาความสมดุล ของระบบนิเวศในแม่น้ำ และปกป้องสัตว์น้ำต่างๆ หากมีผู้ใดทำลายแหล่งน้ำ หรือจับปลามากเกินไป พญานาคจะลงโทษ ด้วยการทำให้เกิดพายุ น้ำท่วม หรือภัยพิบัติต่างๆ
แต่หากผู้คนเคารพ และดูแลแม่น้ำ พญานาคจะอำนวยพร ให้มีน้ำอุดมสมบูรณ์ ไม่แห้งแล้ง และมีปลาชุกชุม ความเชื่อนี้ ช่วยให้ชาวบ้าน มีจิตสำนึก ในการอนุรักษ์แม่น้ำ และทรัพยากรธรรมชาติ
ปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค เป็นเหตุการณ์ประหลาด ที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขง ช่วงออกพรรษา ของทุกปี เป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู ที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำสู่ท้องฟ้า แล้วหายไปอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านเชื่อว่า เป็นการแสดงความเคารพ ของพญานาค ต่อพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสด็จลงจากสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ กลับสู่โลกมนุษย์
หลังจากไปเทศนา โปรดพระมารดา นักวิทยาศาสตร์ พยายามอธิบายว่า อาจเกิดจากก๊าซมีเทน ที่สะสมใต้แม่น้ำลุกติดไฟ หรือเป็นการ ยิงกระสุนส่องแสง จากฝั่งลาว แต่สำหรับคนท้องถิ่น ปรากฏการณ์นี้ ยังคงเป็นความมหัศจรรย์ และเป็นสัญลักษณ์ แห่งความศักดิ์สิทธิ์ ของพญานาค ผู้ปกป้องแม่น้ำโขง [2]
พญานาคปรากฏ ในงานศิลปะ และสถาปัตยกรรมไทย และลาว อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ ตามวัดวาอาราม มักพบรูปปั้นพญานาค ตามบันไดนาค ราวบันได หรือหลังคาโบสถ์ เพื่อเป็นผู้พิทักษ์ ศาสนสถาน นอกจากนี้ ยังมีการนำรูปพญานาค มาประดับตามสะพาน ท่าน้ำ และสถานที่สำคัญริมแม่น้ำ
เพื่อขอให้พญานาค ปกป้องคุ้มครอง ลวดลายพญานาค มักมีความวิจิตรงดงาม แสดงถึงความเชี่ยวชาญ ของช่างฝีมือไทย และความสำคัญ ของพญานาคในวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งไม่เพียงแต่มีคุณค่า ทางศิลปะ แต่ยังเป็นการสื่อถึง คติความเชื่อ และความเคารพ ต่อธรรมชาติอีกด้วย
แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไป ตามยุคสมัย แต่ความเชื่อ เรื่องพญานาค ยังคงมีอิทธิพล ต่อผู้คนในภาคอีสาน และแถบลุ่มแม่น้ำโขง มีการสร้างแหล่งท่องเที่ยว ที่เกี่ยวข้องกับพญานาค เช่น วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ที่ประดิษฐานพระธาตุ และรูปปั้นพญานาคขนาดใหญ่ หรือพิพิธภัณฑ์พญานาค ในจังหวัดต่างๆ
ในตำนานยังมีเรื่องราว ความสัมพันธ์ระหว่าง พญานาคกับ ครุฑ ผู้พิทักษ์สวรรค์ ซึ่งเป็นศัตรูคู่อริ ตามความเชื่อ ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยครุฑชอบจับพญานาคมากิน ความขัดแย้งนี้ ปรากฏในงานศิลปะ และวรรณกรรมหลายแห่ง รวมถึงตราสัญลักษณ์ ของสถาบัน และองค์กรต่างๆ ในประเทศไทย [3]
นอกจากนี้ ยังมีเทศกาล ที่เกี่ยวข้องกับพญานาค โดยเฉพาะงาน ชมบั้งไฟพญานาค ในวันออกพรรษา ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ความเชื่อเรื่องพญานาค ยังช่วยส่งเสริม การอนุรักษ์แม่น้ำ และสิ่งแวดล้อม เพราะผู้คนเกรงกลัว อำนาจของพญานาค และไม่กล้าทำลายธรรมชาติ
พญานาค ผู้ปกป้องแม่น้ำ เป็นมากกว่าเพียงตำนาน หรือความเชื่อ แต่เป็นส่วนหนึ่ง ของวิถีชีวิต และวัฒนธรรม ของผู้คนแถบลุ่มแม่น้ำโขง มาอย่างยาวนาน แม้จะไม่รู้ว่า มีจริงหรือไม่ แต่คุณค่า และแก่นแท้ของความเชื่อนี้ ยังคงมีความหมายกับผู้คน และควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมสืบไป
ตามตำนานความเชื่อ พญานาคมีทั้งหมด 4 เผ่าพันธุ์ แต่ละเผ่าพันธุ์มีสี และลักษณะ แตกต่างกันไป เช่น พญานาควิรูปักษ์ มีสีทอง และพญานาคเอราปถะ มีผิวกายสีเขียว แต่ละเผ่าพันธุ์มีหน้าที่ ดูแลแม่น้ำ และแหล่งน้ำสำคัญต่างๆ ทั้งนี้ รายละเอียด อาจแตกต่างกันไป ตามท้องถิ่น และตำนาน ที่เล่าสืบต่อกันมา
ปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นในช่วง วันออกพรรษา (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) ของทุกปี ส่วนใหญ่พบบริเวณ แม่น้ำโขง ในหลายจังหวัด ของภาคอีสาน โดยเฉพาะที่จังหวัดหนองคาย และบึงกาฬ รวมถึงบางพื้นที่ ในประเทศลาว ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม