
วิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับแมว เบื้องหลังเสน่ห์ที่น่าหลงใหล
- Harry P
- 67 views
วิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับแมว สัตว์ที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และบางครั้ง ก็ดูไม่สนใจมนุษย์เลย แต่ในขณะเดียวกัน แมวก็มักจะทำให้เราหลงใหล ด้วยพฤติกรรมแปลกๆ และมีเสน่ห์ ที่ยากจะหาใครเหมือน แต่รู้หรือไม่ว่า ทุกการเคลื่อนไหวของแมวนั้น ล้วนมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่น่าสนใจอยู่เบื้องหลัง
แมวบ้าน (Felis catus) มีต้นกำเนิดมาจาก แมวป่าชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Felis lybica ซึ่งอาศัยอยู่ในแถบตะวันออกกลาง เมื่อราว 9,000 ปีก่อน แมวป่าชนิดนี้ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ สามารถล่าเหยื่อขนาดเล็ก ได้อย่างรวดเร็ว และเงียบกริบ
เมื่อนานมาแล้ว ที่มนุษย์เริ่มทำเกษตรกรรม และการเก็บเกี่ยวพืชผล ก็ดึงดูดสัตว์ฟันแทะ ให้เข้ามาในยุ้งฉาง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารชั้นดี สำหรับแมวป่า ทำให้แมวเริ่มเข้ามา ใกล้ชิดกับมนุษย์ โดยไม่ได้ตั้งใจ
มนุษย์ในสมัยนั้น เริ่มสังเกตเห็นว่าแมว ช่วยควบคุมประชากรหนู ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเริ่มให้ที่พักพิงแก่แมว โดยไม่ได้บังคับ ให้มันเชื่องเหมือนสุนัข แมวที่เข้ากับมนุษย์ได้ดี จึงได้รับอาหาร และความปลอดภัย จนในที่สุด แมวป่าก็วิวัฒนาการ กลายเป็นแมวบ้าน อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
การมองเห็นในที่มืดของแมว
ดวงตาของแมว มีโครงสร้างพิเศษ ที่เรียกว่า tapetum lucidum ซึ่งเป็นชั้นสะท้อนแสง ที่อยู่ด้านหลังเรตินา ช่วยให้แมวสามารถรับแสง ที่น้อยมากๆได้ และมองเห็นในที่มืด ได้ดีกว่ามนุษย์ถึงหกเท่า นี่จึงเป็นเหตุผลที่แมว มักจะตื่นตัวในเวลากลางคืน [1]
หนวดรับสัมผัส
หนวดของแมว (vibrissae) ไม่ได้เป็นแค่ขนยาวธรรมดา แต่มันคืออวัยวะรับสัมผัส ที่ไวต่อแรงสั่นสะเทือน และการเปลี่ยนแปลง ของกระแสอากาศ แม้แต่ในความมืดสนิท แมวก็ยังสามารถเคลื่อนที่ ได้อย่างคล่องแคล่ว เพราะหนวดเหล่านี้ ช่วยให้มัน “รู้” ว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้า
การได้ยินที่เฉียบคม
แมวสามารถได้ยินเสียง ในช่วงความถี่ ที่สูงกว่ามนุษย์มาก เสียงที่มนุษย์ไม่ได้ยิน เช่น เสียงร้องของหนู หรือเสียงแมลง แมวสามารถจับได้อย่างแม่นยำ และนั่นเป็นเหตุผล ว่าทำไมมัน ถึงสามารถพุ่งเข้าจับเหยื่อ ได้อย่างรวดเร็ว
แมวมีอวัยวะพิเศษที่เรียกว่า Jacobson’s organ หรือ vomeronasal organ ซึ่งช่วยให้มัน สามารถรับรู้กลิ่น ที่ซับซ้อนกว่ามนุษย์ โดยเฉพาะกลิ่นสารเคมี ที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนของสัตว์อื่น
ดังนั้น เวลาที่แมว ทำท่าคล้ายกำลัง “ยิ้ม” หลังจากดมกลิ่นอะไรบางอย่าง นั่นคือพฤติกรรม ที่เรียกว่า Flehmen response ซึ่งช่วยให้มันวิเคราะห์กลิ่น ได้ดียิ่งขึ้น [2]
เสียงร้องของแมว ไม่ใช่แค่การแสดง ความต้องการอาหาร หรือขอความสนใจเท่านั้น แต่เป็นวิธีการสื่อสาร ที่ซับซ้อนกว่าที่เราคิด
ความลับ ในเสียงแมว แมวแต่ละตัวนั้น จะมีโทนเสียง และรูปแบบเสียงร้อง ที่แตกต่างกัน แต่ที่น่าสนใจคือ แมวบ้านมักใช้เสียงร้อง เพื่อสื่อสารกับมนุษย์ มากกว่าใช้กับแมวตัวอื่น ในขณะที่แมวป่า มักใช้ภาษากาย และการใช้กลิ่น เพื่อสื่อสารกัน
นักวิทยาศาสตร์พบว่า แมวสามารถ “ฝึก” มนุษย์ได้ โดยการปรับเปลี่ยนเสียงร้อง ให้เหมาะกับสถานการณ์ ยกตัวอย่างเช่น เสียงร้องที่คล้ายเสียงเด็กร้องไห้ (ซึ่งกระตุ้นสัญชาตญาณของมนุษย์ ให้รีบตอบสนอง) หรือเสียงที่แตกต่างกัน ระหว่างการเรียกร้องความสนใจ กับการบอก ว่าไม่พอใจ
วิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับแมว ในด้านพฤติกรรมบางอย่าง อาจดูเหมือน รหัสลับ ของแมว ที่ดูเป็นปริศนา แต่จริงๆแล้ว สามารถอธิบายได้ ด้วยหลักวิทยาศาสตร์
ความสัมพันธ์ระหว่าง แมว กับการแพทย์ เป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจ มาอย่างต่อเนื่อง แต่มีหนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือ เสียงกรนของแมว ซึ่งถูกพบว่า มีความถี่อยู่ในช่วง 20-150 Hz โดยช่วงความถี่นี้ เป็นช่วงที่สามารถช่วยกระตุ้น การเจริญเติบโตของกระดูก และการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อได้
ด้วยเหตุนี้จึงมีทฤษฎี ที่กล่าวว่าเสียงกรนของแมว อาจมีผลต่อการรักษาตัวเอง และนอกจากนี้ เสียงกรนดังกล่าว ยังมีส่วนช่วยลดความเครียด ได้ทั้งในตัวแมวเอง และมนุษย์ที่ได้ยินมัน นี่จึงถือเป็นอีกหนึ่งแง่มุม ที่สะท้อนให้เห็น ถึงความเกี่ยวข้องของ แมว กับอารมณ์มนุษย์ ในด้านการบำบัดสุขภาพจิต [3]
สรุป แม้ว่าแมวจะเป็นสัตว์ ที่ดูมีความลึกลับ แต่เมื่อศึกษา ผ่านมุมมองทางวิทยาศาสตร์ เราจะพบว่า เบื้องหลังพฤติกรรมที่ดู “แปลก” เหล่านั้น เต็มไปด้วยกลไกทางชีววิทยา และวิวัฒนาการ ที่น่าทึ่ง และนั่นอาจเป็นเหตุผล ที่ทำให้มนุษย์ ตกหลุมรักแมว มายาวนานนับพันปี
แมวมีชั้นสะท้อนแสงที่เรียกว่า tapetum lucidum อยู่ในตาของมัน ซึ่งช่วยสะท้อนแสงที่ผ่านเรตินา กลับไปยังเซลล์รับแสงอีกครั้ง ทำให้แมวสามารถรับแสงที่น้อยมาก และมองเห็นในที่มืด ได้ดีกว่ามนุษย์ถึงหกเท่า
หนวดของแมวมีหน้าที่เป็นอวัยวะรับสัมผัส ที่ไวต่อแรงสั่นสะเทือน และการเปลี่ยนแปลงของกระแสอากาศ ช่วยให้แมวสามารถรับรู้สิ่งกีดขวาง และเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่ว แม้ในที่มืดสนิท หนวดสามารถช่วยให้แมว รับรู้ได้ถึงสิ่งกีดขวาง