
ส่องชีวิต แมววัด ที่มีชีวิตกึ่งอิสระกึ่งพึ่งพามนุษย์
- Harry P
- 64 views
ส่องชีวิต แมววัด ท่ามกลางบรรยากาศ ที่สงบของวัดไทย เรามักเห็นเงาร่างนุ่มนิ่มของแมว ที่เดินทอดน่องอย่างไม่เร่งรีบ แฝงตัวอยู่ตามโบสถ์ วิหาร หรือแอบนอนขด อยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ พวกมันคือ “แมววัด” สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในโลกกึ่งกลาง ระหว่างป่า และบ้าน มีชีวิตกึ่งอิสระ แต่ก็ยังมีความผูกพันกับมนุษย์
ไม่มีใครรู้แน่ชัด ว่าแมวตัวแรกในวัดไทย ปรากฏขึ้นเมื่อใด บางตัวถูกชาวบ้านนำมาปล่อยไว้ เพราะเลี้ยงไม่ไหว บางตัวอาจหลงเข้ามาเอง โดยส่วนใหญ่จะไม่ได้เกิด และโตในวัดตั้งแต่ต้น แต่หลายตัวถูกทิ้ง ถูกปล่อย หรือบางครั้งก็มาหลบภัย วัดจึงกลายเป็น “ที่พึ่ง” ที่ไม่ตั้งใจของเหล่าแมวจร
มันมักกลายเป็นส่วนหนึ่ง ของระบบนิเวศของที่นั่น โดยอัตโนมัติ เพราะวัดมีทั้งอาหาร น้ำ ที่พัก และมนุษย์ใจดี ไม่ว่าจะเป็นพระ เณร แม่ชี หรือญาติโยมที่มาใส่บาตร แต่การได้อยู่วัด ไม่ได้หมายความว่าพวกมัน จะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงเต็มตัว
เพราะแมววัดยังคงรักษาวิถีชีวิต ที่เป็นอิสระ มีพื้นที่ให้วิ่งเล่น ปีนป่าย หรือแอบซ่อน พวกมันมีอิสระ ในการเลือกสถานที่นอน เลือกคนที่ไว้ใจ และเลือกเวลา ที่จะเข้าหา หรือถอยห่างจากมนุษย์
ในหลายวัด พระภิกษุไม่เพียงแต่ ทำหน้าที่ทางศาสนา แต่ยังกลายเป็นผู้ดูแล แมวเหล่านี้ไปโดยปริยาย บางรูปอาจเตรียมข้าวปลา ให้อาหารอย่างสม่ำเสมอ บางรูปอาจดูแลเรื่องสุขภาพ หรือแม้กระทั่งพาไปรักษา เมื่อแมวเจ็บป่วย
พระบางรูปให้ความรักอย่างจริงใจ ถึงขั้นตั้งชื่อให้ อย่างมีเอกลักษณ์ เช่น “ไอ้เหลือง” “ไอ้ขาว” หรือ “ไอ้แสบ” และบางตัว ก็ถึงกับมีที่นอนประจำข้างกุฏิ หรือกล่องกระดาษ ที่ตกแต่งอย่างดีเหมือนบ้านเล็กๆ
แม้พระจะมีข้อห้ามในการเลี้ยงสัตว์ แต่ในทางปฏิบัติ การดูแลแมววัด มักถูกมองว่าเป็นการแสดงเมตตา เป็นหนึ่งในหลักธรรม ของพุทธศาสนา ที่ไม่ทอดทิ้งสรรพสัตว์ใดๆ [1]
ชาวบ้านละแวกวัด มักมีบทบาทสำคัญ ในการเลี้ยงดูแมววัด โดยไม่รู้ตัว บางคนหอบอาหารเปียกมาให้ บางคนคอยเอาเศษกับข้าว ใส่ถุงมาเผื่อ บางบ้านคอยจับแมววัด ไปทำหมันแบบเงียบๆ แล้วก็ปล่อยกลับมาเหมือนเดิม ไม่มีสัญญา ไม่มีความผูกพันตามกฎหมาย
แต่มีเครือข่ายการดูแล ที่เติบโตขึ้นตามกาลเวลา แมวบางตัวสนิทกับคนเฒ่าคนแก่แถววัด จนกลายเป็นเหมือนเพื่อน ประจำบันไดโบสถ์ หรือแม้แต่เรียกชื่อ มันก็วิ่งออกมาทุกครั้ง ความผูกพันนี้เรียบง่าย ไม่มีพิธี แต่ลึกซึ้งอย่างน่าประหลาด ชาวบ้านกับแมววัด คือวงจรของการให้ และการดูแลแบบไม่เป็นทางการ
ความอิสระแบบมีขอบเขต
แมววัดเป็นตัวแทนของชีวิต ที่ไม่ยึดติด มีนิสัยคล้าย แมวไทยแท้ ทั่วๆไป รักอิสระ ไม่ต้องมีปลอกคอ หรือบ้านหลังโต แต่ก็ไม่โดดเดี่ยว เพราะมีสายสัมพันธ์แบบหลวมๆ กับมนุษย์ สะท้อนถึงแนวคิดทางพุทธ อย่างลึกซึ้งว่า ทุกชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันได้ อย่างกลมกลืน ไม่เบียดเบียน และมีเมตตาต่อกัน
แม้ภาพของแมววัด ที่เดินเล่นอิสระ หรือได้นอนตากแดด อย่างสงบในวัด จะดูเหมือนชีวิตที่อิสระ และสุขสงบ แต่ในความเป็นจริง มีแมววัดจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก หลายตัวมาถึงวัดในสภาพผอมโซ ขนร่วงเป็นหย่อม เจ็บป่วยแต่ไม่ได้รับการรักษา
บางตัวมีแผล จากการถูกแมวตัวอื่นกัด หรือบาดแผลจากอุบัติเหตุเล็กๆ ที่ไม่ได้รับการดูแลจนลุกลาม บ้างก็พิการ บ้างก็ตาบอด และทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นโดยไม่มีใครทันสังเกต แต่ที่น่าเศร้ายิ่งไปกว่านั้นคือ แมววัดหลายตัว ไม่ได้มาด้วยตัวเอง แต่ถูกนำมาทิ้งโดยเจ้าของเก่า
บางตัวเคยมีบ้าน เคยได้นอนบนหมอนนุ่มๆ แต่ถูกนำมาปล่อย ในที่ที่พวกเขาไม่รู้จัก และต้องหาทางเอาตัวรอดโดยลำพัง สำหรับแมว ที่ไม่เคยใช้ชีวิตแบบแมวจร การถูกทิ้งคือโลกที่โหดร้าย พวกมันไม่รู้จะหาอาหารจากไหน ไม่รู้จักวิ่งหนีรถ ไม่เข้าใจว่าต้องสู้กับแมวตัวอื่นยังไง เพื่อพื้นที่เล็กๆ สักมุมหนึ่งในวัด
หลายคนเชื่อว่าวัด คือที่พึ่งของสัตว์ เมื่อเลี้ยงต่อไม่ได้ก็เอาไปปล่อยวัด ด้วยความคิดที่ว่า “พระใจดี” หรือ “วัดมีข้าวเยอะ” แต่ในความจริง วัดไม่ใช่สถานที่ ที่มีทรัพยากรพร้อมดูแลสัตว์จำนวนมาก พระภิกษุหลายรูป มีข้อจำกัด ทั้งเรื่องเวลา ค่าใช้จ่าย และข้อปฏิบัติ ที่ไม่สามารถเลี้ยงสัตว์อย่างเต็มตัวได้ [2]
แมวเหล่านั้น จึงต้องพึ่งพากันเอง หรือรอความเมตตา จากคนที่ผ่านไปมา โดยไม่รู้เลยว่าอาหารมื้อต่อไป จะมีมาหรือไม่ การนำแมวไปปล่อยวัด อาจเทียบได้กับการปล่อยเด็ก ให้เดินหลงทางในเมืองใหญ่ ทั้งเสี่ยง ทั้งอันตราย และไม่มีใครรับประกันได้เลย ว่าพวกเขาจะรอด
สัตว์เลี้ยงไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เลือกเรา แต่พวกมัน “ถูกรับมา” ด้วยความเชื่อว่า จะได้รับการดูแลไปตลอดชีวิต ก่อนคิดจะเลี้ยงแมว ต้องคิดเสมอว่า เราพร้อมสำหรับการดูแลชีวิตหนึ่งตลอด 10-15 ปีหรือไม่ ไม่ใช่แค่ตอนน่ารักในวัยเด็ก แต่รวมถึงวันที่มันป่วย ต้องพาไปหาหมอ หรือวันที่มันแก่ชรา [3]
หากสังคม ตระหนักถึงความรับผิดชอบนี้ ให้มากขึ้น ภาพของแมววัดที่ผอมโซ หิวโหย หรือแอบนอนอยู่ใต้กุฏิเพราะเจ็บป่วย ก็อาจลดลง หรือหายไปได้ในวันหนึ่ง แมววัดคือภาพสะท้อนของปัญหา ที่เกิดจากความไม่รับผิดชอบของมนุษย์ มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะวัด หรือแมวเลือกเอง
แต่เกิดขึ้นเพราะคนบางคน ทอดทิ้ง และสังคม ยังไม่ได้ให้ความสำคัญ กับชีวิตเล็กๆ เหล่านี้มากพอ แต่ถ้าหากวันไหน คุณได้พบแมววัด อย่าลืมเหลียวมองพวกเขาสักนิด บางทีแค่ข้าวหนึ่งถุง น้ำสะอาดหนึ่งชาม หรือมือหนึ่งที่ลูบเบาๆ ก็อาจทำให้แมวตัวหนึ่ง รู้สึกว่าชีวิตยังไม่ถูกลืมโดยสิ้นเชิง
ส่องชีวิต แมววัด กับท้ายที่สุดนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของที่อยู่สัตว์ แต่คือบทเรียน ของความเมตตา การอยู่ร่วมกัน และการเคารพ ในเสรีภาพของชีวิตอื่นๆ แต่ในขณะเดียวกัน แมววัดก็ไม่ควรถูกมองเป็น “แมวจรมีที่อยู่” เท่านั้น แต่ควรถูกมองเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ต้องการความรัก ความเข้าใจ และการดูแล
แมววัดอยู่ในพื้นที่กึ่งกลาง ระหว่างแมวจรกับสัตว์เลี้ยง พวกมันไม่ได้มีเจ้าของชัดเจน แต่ก็ไม่ถึงกับต้องเอาชีวิตรอดตามลำพัง เหมือนแมวจรเต็มตัว เพราะยังมีพระภิกษุ และชาวบ้านคอยดูแล แม้จะไม่มีพันธะทางกฎหมาย แต่ก็มีความผูกพันทางใจ ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นตามกาลเวลารายละเอียด
ไม่เสมอไป การนำแมวไปปล่อยวัด อาจดูเหมือนทางออก แต่แท้จริงแล้วคือการส่งต่อปัญหา แม้วัดจะดูสงบ และปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้มีทรัพยากร ที่พร้อมดูแลสัตว์จำนวนมาก วัดไม่ใช่สถานรับเลี้ยงสัตว์ และแมวที่ไม่คุ้นกับชีวิตข้างนอก อาจเผชิญความเครียด หรืออันตราย จากสภาพแวดล้อมใหม่ๆ