
เทพเจ้า กับจิตวิทยามนุษย์ เงาในจิตใต้สำนึก
- J. Kanji
- 34 views
เทพเจ้า กับจิตวิทยามนุษย์ เป็นเหมือนกระจก ที่สะท้อนความหวัง ความกลัว และความปรารถนาลึกๆ ของมนุษย์ เรื่องราวของเทพเจ้า ที่เราเคยได้ยิน จึงไม่ได้เป็นเพียง นิทานปรัมปราเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็น ถึงจิตใจของเราด้วย บทความนี้ จะพาไปดูกันว่า เรื่องราวของเทพเจ้า สะท้อนอะไรในตัวเราบ้าง
เวลาที่เราไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง เช่น ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว หรือว่าทำไม พืชถึงงอกงาม มนุษย์เราก็มักจะหาคำอธิบาย ด้วยการสร้างเทพเจ้าขึ้นมา เทพเจ้าฟ้าผ่า เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ เทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว
นี่คือการที่สมองเรา พยายามทำความเข้าใจ โลกที่ซับซ้อน และบางครั้งก็น่ากลัว เมื่อเราบูชาเทพเจ้า เราก็รู้สึกเหมือนมีที่พึ่ง มีความหวัง และรู้สึกว่าชีวิต มีระเบียบแบบแผน ไม่ใช่แค่เกิดขึ้นแบบสุ่มๆ นักจิตวิทยาบอกว่า การมีเทพเจ้า เป็นการตอบสนอง ความต้องการพื้นฐานของเรา [1] เช่น
คาร์ล จุง (Carl Jung) นักจิตวิทยาคนดัง เคยพูดถึงเรื่อง “อาร์คีไทป์” (archetype) หรือแบบแผนต้นแบบ ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกร่วม ของมนุษย์ทุกคน [2] อาทิเช่น เทพเจ้าในตำนานกรีก
เทพเจ้าเหล่านี้ ไม่ได้เป็นแค่ตัวละคร ในเทพนิยาย แต่พวกเขา ยังเป็นตัวแทน ของบุคลิกภาพ และแรงขับต่างๆ ที่อยู่ในตัวเราทุกคน เวลาที่เราชอบเทพองค์ไหนเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะเรากำลัง พยายามเข้าใจ หรือพัฒนาด้านนั้นๆ ในตัวเราเองก็ได้
ถ้าสิ่งที่มนุษย์ กลัวมากที่สุด ก็น่าจะเป็น ความตาย ภัยพิบัติธรรมชาติ โรคระบาด การสูญเสียคนที่รัก ความเจ็บปวด ไม่แปลกเลย ที่เราสร้างเทพเจ้า แห่งความตาย เทพเจ้าแห่งความเจ็บป่วย หรือเทพเจ้า แห่งชีวิตหลังความตายขึ้นมา ในทางจิตวิทยา การมีเทพเจ้า ช่วยให้เรารับมือ กับความกลัวได้ดีขึ้น
ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า จึงเป็นกลไกรับมือ กับความกลัว ที่มนุษย์คิดค้นขึ้น มาตั้งแต่ยุคโบราณ และยังคงใช้ได้ผล จนถึงทุกวันนี้
เคยสังเกตไหมว่า ทำไมทุกศาสนาถึงมีพิธีกรรม ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ การทำบุญ การบูชายัญ หรือการเซ่นไหว้ พิธีกรรมเหล่านี้ ไม่ได้มีไว้แค่เพื่อ เอาใจเทพเจ้าเท่านั้น แต่ยังช่วยเยียวยาจิตใจ ของผู้ทำพิธีด้วย จากมุมมองทางจิตวิทยา พิธีกรรมมีประโยชน์มากมาย อาทิเช่น
ในบางแง่ พิธีกรรมทางศาสนา ก็คล้ายกับการบำบัด ทางจิตวิทยาสมัยใหม่ ที่ช่วยให้เราได้หยุด ใคร่ครวญ และจัดการ กับความรู้สึกต่างๆ ในชีวิต
เทพนิยาย เกี่ยวกับเทพเจ้า ไม่ได้มีไว้แค่เพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นเครื่องมือ สอนค่านิยม และศีลธรรมของสังคมด้วย
น่าสนใจว่า จิตวิทยาสมัยใหม่ ก็ยังใช้การเล่าเรื่อง (narrative therapy) เป็นวิธีการบำบัด ซึ่งไม่ต่างจาก การเล่าเรื่องเทพนิยาย ในอดีตเท่าไรนัก ทั้งสองวิธี ช่วยให้เราเรียนรู้ บทเรียนชีวิตผ่านตัวละคร และเรื่องราวที่มีพลัง [3]
แม้ว่าสังคมสมัยใหม่ จะเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่ความต้องการ ทางจิตวิทยา ของเรายังคงเหมือนเดิม เราแค่เปลี่ยนรูปแบบไป ยกตัวอย่าง
สิ่งเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า แม้โลกจะเปลี่ยนไป แต่ความต้องการอ้างอิง ถึงสิ่งที่อยู่เหนือตัวเรา การมีแบบอย่าง และความปรารถนา ที่จะเชื่อมโยง กับอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่า ยังคงเป็นส่วนหนึ่ง ของจิตวิทยามนุษย์
สรุป เทพเจ้าอาจเปลี่ยนชื่อ และรูปร่างไปตามยุคสมัย แต่บทบาททางจิตวิทยา ของพวกเขายังคงอยู่ เป็นเสมือนกระจก ที่สะท้อนให้เห็นว่า เราเป็นใคร เราต้องการอะไร และเรากลัวอะไร การเข้าใจเกี่ยวกับเทพเจ้า กับจิตวิทยามนุษย์ จึงไม่ใช่แค่ การศึกษาความเชื่อโบราณ แต่เป็นการสำรวจจิตใจ ของเราเองด้วยเช่นกัน
เพราะเป็นการตอบสนอง ความต้องการพื้นฐาน ทางจิตวิทยาของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ความต้องการ ความมั่นคงปลอดภัย มนุษย์ทุกวัฒนธรรม มีความต้องการเหล่านี้เหมือนกัน จึงสร้างเทพเจ้าขึ้นมา ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป แต่มีหน้าที่ ทางจิตวิทยาคล้ายคลึงกัน
ในยุคสมัยใหม่ แม้คนจะหันไปพึ่ง วิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่ความเชื่อ ต่อเทพเจ้ายังคงอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไป เช่น ซูเปอร์ฮีโร่ ในภาพยนตร์ และการ์ตูน ที่มีพลังพิเศษ และคุณสมบัติคล้ายเทพเจ้า สิ่งเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ ยังต้องการ สิ่งที่อยู่เหนือกว่าตนเอง เพื่อเป็นแบบอย่าง และที่พึ่งทางใจ