
เรื่องน่าเศร้า ของแมว ชะตากรรมอันโหดร้ายในยุคกลาง
- Harry P
- 97 views
เรื่องน่าเศร้า ของแมว สัตว์ที่อาจจะได้รับการเคารพนับถือ ในบางอารยธรรม เช่น อียิปต์โบราณ แต่ในยุโรปยุคกลาง กลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย ตรงกันข้าม แมวต้องเผชิญกับความโหดร้าย และชะตากรรมอันน่าสลดใจ เมื่อความเชื่อเรื่องปีศาจ และเวทมนตร์ดำ ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีป
ในยุคกลาง ยุโรปถูกครอบงำ ด้วยความเชื่อทางศาสนา แบบสุดโต่ง คริสตจักรในสมัยนั้นส่งเสริมให้ประชาชน เชื่อว่าปีศาจมีอำนาจ ที่แทรกแซงโลกมนุษย์ได้ และบรรดาแม่มด ก็เป็นสาวกของซาตาน
ซึ่งเป็นศัตรูของพระเจ้า และหนึ่งในความเชื่อ ที่ถูกเผยแพร่ออกไปก็คือ แม่มดมักจะมีสัตว์เลี้ยงที่เป็น “แฟมิเลียร์” (Familiar) หรือสัตว์ที่เป็นบริวารของปีศาจ และแมว โดยเฉพาะแมวดำ ก็กลายเป็นเป้าหมายหลัก ของความหวาดกลัวนี้
คริสตจักรบางแห่ง ถึงกับประกาศว่าแมว เป็นสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับซาตาน และเริ่มมีคำสอนที่ชี้ว่า แมวเป็นร่างจำแลงของปีศาจ หรืออย่างน้อย ก็เป็นเครื่องมือของเหล่าแม่มด ความเชื่อเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้ชาวบ้านเริ่มหวาดกลัว และพากันกวาดล้างแมวอย่างโหดร้าย [1]
แมวตกเป็นเป้าหมาย ของการสังหารหมู่ ในหลายเมืองทั่วยุโรป บางพื้นที่มีการกำหนดให้มี “เทศกาลเผาแมว” ซึ่งเป็นพิธีกรรม ที่ชาวบ้าน จะรวบรวมแมวจำนวนมาก มาใส่ลงไปในกรงขนาดใหญ่ หรือกระสอบ จากนั้นจะนำไปเผาทั้งเป็น ที่กลางเมือง ท่ามกลางเสียงเชียร์ของผู้คน ที่มองว่าเป็นการกำจัดสิ่งชั่วร้าย
ในประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะในปารีส มีบันทึกว่าในศตวรรษที่ 14 และ 15 มีการเผาแมวครั้งใหญ่เป็นประจำ และกษัตริย์หลุยส์ที่ 14 เองก็เคยร่วมเป็นสักขีพยาน ในการเผาแมวกลางจัตุรัส นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ผู้คนบางกลุ่ม มักจับแมวโยนลงจากหอคอย หรือแขวนคอไว้ตามต้นไม้ เพื่อเป็นการลงโทษ
ชะตากรรมของแมว ที่ถูกสังหารหมู่ในยุโรป มีผลลัพธ์ที่เลวร้าย เกินกว่าที่ใครจะคาดคิดได้ เพราะแมวเป็นนักล่า ตามธรรมชาติของหนู ซึ่งเป็นพาหะนำโรคร้าย และเมื่อจำนวนแมวลดลง
หนูที่มีเชื้อกาฬโรค ซึ่งแพร่กระจายผ่านหมัด ก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การระบาดครั้งใหญ่ของ “กาฬมรณะ” หรือ Black Death ในช่วงศตวรรษที่ 14 ที่คร่าชีวิตประชากรยุโรป ไปกว่าหนึ่งในสาม
เป็นที่น่าเศร้าใจที่หากไม่มีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับแมว บางทีโรคระบาดอาจจะไม่รุนแรงเท่านี้ แมวที่เคยเป็นศัตรูในสายตาของมนุษย์ กลับกลายเป็นฮีโร่ที่ถูกลืม เพราะมันอาจช่วยควบคุมประชากรหนู และลดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้ [2]
กว่าจะถึงศตวรรษที่ 17 และ 18 ทัศนคติของผู้คนและ ความเชื่อโบราณ เรื่องแมว ได้เริ่มเปลี่ยนไป ค่อยๆมีการยอมรับ ว่าความเชื่อเรื่องแม่มด และเวทมนตร์ดำนั้น เป็นเพียงไสยศาสตร์ ที่ไม่มีหลักฐานรองรับ การล่าแม่มดเริ่มลดลง ความหวาดกลัวที่ไร้เหตุผล เกี่ยวกับแมวก็เริ่มคลี่คลาย ไปตามกาลเวลา
ประกอบกับแนวคิด แบบเรืองปัญญา (Enlightenment) ที่เริ่มเน้นการใช้เหตุผลมากขึ้น ทำให้ผู้คน เริ่มตระหนักว่าแมว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปีศาจ หรือเวทมนตร์อย่างที่เคยเชื่อกัน โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูง และชนชั้นกลาง ที่เริ่มเลี้ยงแมว เป็นสัตว์เลี้ยง แมวกลายเป็นสัตว์ที่ได้รับการยกย่องมากขึ้น
ไม่เพียงเพราะมันมีเสน่ห์ และเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักเท่านั้น แต่เพราะมันช่วยกำจัดหนูในบ้านเรือน ได้เป็นอย่างดี นักเขียนและกวีบางคนในยุคนั้น เริ่มกล่าวถึงแมวในทางบวก อย่างนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส วอลแตร์ (Voltaire) และนักเขียนชาวอังกฤษ ซามูเอล จอห์นสัน (Samuel Johnson) ที่ต่างก็เป็นผู้ที่รักแมว
ในบางประเทศ อย่างอังกฤษ แมวดำได้กลายเป็นสัญลักษณ์ ของความโชคดี แทนที่จะเป็นตัวแทนความชั่วร้าย ลูกเรือในยุคศตวรรษที่ 18 และ 19 มักจะนำแมวดำ ขึ้นเรือไปด้วย เพราะเชื่อว่าแมวดำจะนำโชค และปกป้องเรือจากพายุ หรืออุบัติเหตุได้ [3]
แมวเริ่มปรากฏในงานศิลปะ และวรรณกรรมมากขึ้น มันกลายเป็นสัตว์เลี้ยง ของบุคคลสำคัญ อย่างพระนางมารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) แห่งฝรั่งเศสที่ชื่นชอบแมว รวมถึงจักรพรรดินโปเลียน ที่มีบันทึกว่าแม้จะกลัวแมว แต่ภรรยาของเขา โจเซฟินา โบนาปาร์ต กลับเลี้ยงแมวหลายตัว
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 และ 20 แมวก็กลายเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยม ของคนทั่วโลก ทัศนคติที่มีต่อแมว ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากสัตว์ต้องสาปในยุคกลาง สู่สัตว์เลี้ยงที่ได้รับความรัก และความเคารพในยุคปัจจุบัน
แม้ว่าปัจจุบัน แมวจะได้รับการยอมรับ จากผู้คนทั่วโลก กลายเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยม ของในหลายวัฒนธรรม แต่เรื่องราวอันน่าเศร้า ของพวกมันในอดีต ยังคงเป็นบทเรียน ที่ควรค่าแก่การจดจำ ไม่ใช่เพียงเพื่อแมวเท่านั้น แต่เพื่อเตือนใจเรา ว่าความกลัวที่ขาดเหตุผล อาจนำไปสู่ความโหดร้ายได้เสมอ
สรุป เรื่องน่าเศร้า ของแมว ในยุคกลางนั้น เป็นเครื่องเตือนใจ ให้เห็นถึงอันตราย จากความเชื่อที่งมงาย และอิทธิพลของความกลัว ที่ไร้เหตุผล เมื่อใดที่มนุษย์ ปล่อยให้ความกลัวครอบงำ เมื่อนั้นมักจะมีผู้บริสุทธิ์ ที่ต้องรับเคราะห์ อย่างแมวในยุคกลาง ที่ต้องเผชิญกับความโหดร้าย ที่มันไม่อาจเข้าใจได้
ในยุคกลาง คริสตจักรยุโรป ส่งเสริมความเชื่อที่ว่า แมวดำเป็นบริวารของแม่มด หรือเป็นร่างจำแลงของปีศาจ ความเชื่อนี้เกิดจากภาพลักษณ์ ที่ดูลึกลับของแมว เช่น ความสามารถในการล่าเงียบๆ ดวงตาที่เรืองแสงในความมืด และพฤติกรรมที่ดูเป็นอิสระ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนหวาดกลัว
การลดจำนวนแมว ทำให้ประชากรหนูเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หนูเหล่านี้เป็นพาหะนำโรคกาฬมรณะ (Black Death) ซึ่งแพร่ระบาดอย่างรุนแรง ในศตวรรษที่ 14 คร่าชีวิตประชากรยุโรป ไปมากกว่าหนึ่งในสาม หากแมวไม่ได้ถูกกำจัดไป โรคระบาดอาจไม่รุนแรงเท่านี้ เพราะแมวจะช่วยควบคุมประชากรหนูได้